วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

ไชยเชษฐ์


ไชยเชษฐ์
Chaiyach1.jpg

ไชยเชษฐ์ เป็นนิทานพื้นบ้านสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีผู้นำนิทานเรื่องนี้มาเล่นเป็นละครเพราะเป็นเรื่องสนุก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงนำนิทานเรื่องไชยเชษฐ์มาพระราชนิพนธ์เป็นบทละครนอก เดิมละครนอกเป็นละครที่ราษฎรเล่นกัน ให้ผู้ชายแสดงเป็นตัวละครทั้งหมด พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องไชยเชษฐ์เพื่อให้เป็นบทละครนอกของหลวง และทรงให้ผู้หญิงที่เป็นละครหลวงแสดงอย่างละครนอก

เนื้อเรื่อง                                                                                                         ท้าวอภัยนุราช เจ้าเมืองเวสาลี มีพระธิดาองค์หนึ่ง พระนามว่า นางจำปาทอง เพราะเมื่อนางร้องไห้จะมีดอกจำปาทองร่วงลงมา ครั้นนางจำปาทองเจริญวัยขึ้น นางได้นำไข่จระเข้าจากสระในสวนมาฟักจนเป็นตัวและเลี้ยงจระเข้ไว้ในวัง ครั้นจระเข้เติบใหญ่ขึ้น ก็ดุร้ายตามวิสัยของมัน มันเที่ยวไล่กัดชาวเมืองจนชาวเมืองเดือดร้อนไปทั่ว ท้าวอภัยนุราชทรงขัดเคืองจึงขับไล่นางจำปาทองออกจากเมืองเวสาลี นางแมว ซึ่งเป็นแมวที่นางจำปาทองเลี้ยงไว้ได้ติดตามนางไปด้วย นางจำปางทองกับนางแมวเดินซัดเซพเนจรอยู่ในป่า ไปพบยักษ์ตนหนึ่งชื่อ นนทยักษ์ ซึ่งกำลังจะไปเฝ้า ท้าวสิงหล นางตกใจกลัวจึงวิ่งหนีไปพบพระฤๅษี พระฤๅษีช่วยนางไว้ นางจำปาทองกับนางแมวจึงขออาศัยอยู่รับใช้พระฤๅษีในป่านั้น

ท้าวสิงหลเป็นยักษ์ครองเมืองสิงหล ไม่มีโอรสและธิดา คืนหนึ่งท้าวสิงหลบรรเทาหลับและทรงพระสุบินว่า มียักษ์ตนหนึ่งมาจากป่านำดอกจำปามาถวาย ดอกจำปามีสีเหลือเหมือนทองคำงามยิ่งนัก ท้าวสิงหลจึงทรงให้โหรทำนายพระสุบิน โหรทำนายว่าท้าวสิงหลจะได้พระธิดา วันนั้นนนทยักษ์เข้าเฝ้าท้าวสิงหลและทูลว่าพบหญิงสาวอาศัยอยู่กับพระฤๅษีที่ในป่า ท้าวสิงหลจึงเสด็จไปหาพระฤๅษี และขอนางจำปาทองมาเป็นธิดา ประทานนามว่า นางสุวิญชา
ฝ่ายพระไชยเชษฐ์เป็นโอรสเจ้าเมืองเหมันต์ พระไชยเชษฐ์มีพระสนมอยู่ 7 คน วันหนึ่งพระองค์เสด็จประพาสป่า และหลงทางเข้าไปในสวนเมืองสิงหล นางสุวิญชา มาเที่ยวชมสวนพบพระไชยเชษฐ์จึงนำความทูลให้ท้าวสิงหลทราบ ท้าวสิงหลให้พระไชยเชษฐ์เข้าเฝ้า พระไชยเชษฐ์จึงทูลขอรับราชการในเมืองสิงหล ต่อมามีข้าศึกยกทัพมาตีเมืองสิงหล พระไชยเชษฐ์อาสาสู้ศึกจนชนะ ท้าวสิงหลจึงทรงยกนางสุวิญชาให้เป็นชายาพระไชยเชษฐ์ พระไชยเชษฐ์จึงพานางสุวิญชากลับเมืองเหมันต์
ฝ่ายนางสนมทั้ง 7 คนริษยานางสุวิญชาที่พระไชยเชษฐ์รักนางสุวิญชามากกว่า ครั้นนางสุวิญชาทรงครรภ์จวนจะถึงกำหนดคลอดนางสนมทั้ง 7 คน ก็ออกอุบายว่ามีช้างเผือกอยู่ในป่า พระไชยเชษฐ์จึงออกไปคล้องช้างเผือก ฝ่ายนางสุวิญชาคลอดลูกเป็นกุมารมีศรกับพระขรรค์ติดตัวมาด้วย นางสนมทั้ง 7 คน นำพระกุมารใส่หีบไปฝังที่ใต้ต้นไทรในป่า เทวดาประจำต้นไม้ช่วยชีวิตพระกุมารไว้ เมื่อพระไชยเชษฐ์เสด็จกลับจากคล้องช้างเผือก นางสนมทั้ง 7 คน ทูลว่านางสุวิญชาคลอดลูกเป็นท่อนไม้ พระไชยเชษฐ์จึงขับไล่นางสุวิญชาออกจากเมือง ขณะที่นางสุวิญชาคลอดกุมารนั้น นางแมวแอบเห็นการกระทำของนางสนมทั้ง 7 คน จึงพานางสุวิญชาไปขุดหีบที่ใต้ต้นไทร แล้วพาพระกุมารกลับไปเมืองสิงหล ท้าวสิงหลตั้งชื่อพระกุมารว่า พระนารายณ์ธิเบศร์
ต่อมาพระไชยเชษฐ์ทรงรู้ความจริงว่านางสุวิญชาถูกใส่ร้าย จึงออกติดตามนางสุวิญชาไปเมืองสิงหลและได้พบพระนารายณ์ธิเบศร์ ซึ่งกำลังประพาศป่ากับพระพี่เลี้ยง พระไชยเชษฐ์เห็นพระนารายณ์ธิเบศร์เป็นเด็กน่ารัก มีหน้าตาคล้ายพระองค์ก็มั่นใจว่าเป็นพระโอรส จึงเข้าไปขออุ้มและเอาขนมนมเนยให้ พระนารายณ์ธิเบศร์โกรธว่าเป็นคนแปลกหน้า จึงไม่ให้จับต้องและไม่ยอมเสวยขนม
พระนารายณ์ธิเบศร์โกรธพระไชยเชษฐ์ที่มาจับต้องตัวและจับหัวของพระพี่เลี้ยงของตนจึงใช้ศรธนูหมายจะฆ่าให้ตายแต่ธนูที่ยิงออกไปนั้นกลับกลายเป็นดอกไม้กระจายเติมพื้นดิน จึงทำให้พระไชยเชษฐ์เกิดความประหลายใจยิ่งนัก จึงอธิษฐานจิตว่าถ้ากุมารองค์นี้เป็นลูกของตนที่เกิดกับนางสุวิญชาขอให้ธนูที่ยิงออกไปนั้นกลายเป็นอาหาร ทันใดนั้นพระไชยเชษฐ์ก็แผลงศรออกไป และศรธนุที่ยิงออกไปนั้นก็กลายเป็นอาหารมากมายเต็มพื้น จึงทำให้พระไชยเชษฐ์มั่นใจเป็นแน่แท้ว่าเป็นบุตรของตนจริง
พระไชยเชษฐ์ทรงไต่ถามพระนารายณ์ธิเบศร์เกี่ยวกับมารดา เพราะทรงจำแหวนที่พระนารายณ์ธิเบศร์สวมได้ พระนารายณ์ธิเบศร์บอกว่านางสุวิญชาเป็นแม่และท้าวสิงหลเป็นพ่อ พระไชยเชษฐ์จึงทรงเล่าเรื่องเดิมให้พระนารายณ์ธิเบศร์ฟัง ทั้งสองจึงทราบว่าเป็นพ่อลูกกัน พระนารายณ์ธิเบศร์พาพระไชยเชษฐ์เข้าเฝ้าท้าวสิงหล พระไชยเชษฐ์ขอโทษนางสุวิญชา พระนารายณ์ธิเบศร์ช่วยทูลนางสุวิญชาให้หายโกรธพ่อ นางสุวิญชายกโทษให้ พระไชยเชษฐ์ นางสุวิญชา และพระนารายณ์ธิเบศร์ สามคนพ่อแม่ลูกจึงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

แสงอาทิตย์

แสงอาทิตย์

แสงอาทิตย์.jpg

          แสงอาทิตย์ เป็นตัวละครฝ่ายอธรรมจากเรื่องรามเกียรติ์ โอรสองค์ที่สองของพญาขร เป็นน้องของมังกรกัณฐ์ มีแว่นแก้วสุรกานต์ที่พระพรหมประทานให้เป็นอาวุธ และได้ฝากเก็บไว้ที่พระพรหม หากใช้ส่องไปที่ใครจะทำให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ทศกัณฐ์ใช้ให้แสงอาทิตย์ยกทัพออกไปรบกับพระราม พิเภกทูลพระรามว่าแสงอาทิตย์มีแว่นแก้วสุรกานต์เป็นอาวุธฝากไว้ที่พระพรหม พระรามจึงให้องคตแปลงกายเป็นแสงอาทิตย์ และให้พิเภกแปลงกายเป็นจิตรไพรี พี่เลี้ยงของแสงอาทิตย์ที่ แล้วไปขอแว่นแก้วมาจากพระพรหม เมื่อแสงอาทิตย์สู้พระรามไม่ได้ จึงใช้ให้จิตรไพรีไปขอแว่นแก้วสุรกานต์จากพระพรหม พระพรหมจึงว่ามาเอาไปแล้วทำไมจึงมาขออีก จิตรไพรีรีบกลับมาบอกแสงอาทิตย์ แสงอาทิตย์รู้ตัวว่าหลงกลแล้วก็แข็งใจสู้กับพระรามและถูกศรพรหมมาศของพระรามตายกลางสนามรบ

ท้าวอัศกรรณมาลาสูร

ท้าวอัศกรรณมาลาสูร



ท้าวอัศกรรณมาลาสูร เจ้าเมืองดุรัม เป็นเพื่อนอีกตนหนึ่งของทศกัณฐ์ ได้ขอทศคีรีวัน ทศคีรีธร โอรสฝาแฝดของทศกัณฐ์ที่เกิดกับนางช้าง ไปเป็นลูกบุญธรรม เมื่อลูกบุญธรรมทั้งสองและทศกัณฐ์ตาย ท้าวอัศกรรณมาลาสูรก็ยกทัพไปช่วยแก้แค้น จึงถูกพระรามแผลงศรตัดตัวขาด แต่แทนที่จะตายกลับมีร่างกายทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ พิเภกจึงบอกความลับว่าท้าวอัศกรรณมาลาสูรได้พรจากพระอิศวร ถึงร่างกายจะถูกตัดเป็นกี่ท่อนก็จะทวีคูณขึ้นมา ไม่มีวันตาย วิธีฆ่าคือ ต้องนำร่างทั้งหมดไปทิ้งน้ำ พระรามจึงแผลงศรพรหมมาศไปตัดหัวขาด และนำร่างไปทิ้งน้ำ
ท้าวอัศกรรณมาลาสูร เป็นหนึ่งในทวารบาลในพระบรมมหาราชวัง

ลักษณะ                                                                                                         หน้าสีม่วงแก่ ๗ หน้า ๒ กร แบ่งเป็น ๒ ชั้นด้วยกัน ชั้นแรกเป็นหน้าปกติ ๑ หน้า และหน้าเล็ก ๆ ๓ หน้า เรียงอยู่ตรงท้ายทอย ส่วนชั้นที่ ๒ เป็นหน้าเล็ก ๓ หน้า แสดงอาการปากขบตาโพลงหรือปากแสยะตาโพลงสวมชฎามนุษย์หรือมงกุฎชัย

สหัสเดชะ

สหัสเดชะ


         สหัสเดชะ (แปลว่า มีกำลังนับพัน) เป็นยักษ์กายสีขาว เจ้าเมืองปางตาล มี 1000 หน้า 2000 มือ ร่างกายสูงใหญ่ดั่งเขาอัศกรรม มีกระบองวิเศษที่พระพรหมประทานให้มีฤทธิ์คือต้นชี้ตายปลายชี้เป็นและได้รับพรเมื่อข้าศึกหรือศัตรูเห็นจงหนีหายไปด้วยความกลัว เมื่อพญามูลพลัมรู้ว่าทศกัณฐ์เพื่อนของตนกำลังรบกับพระรามอยู่จึงคิดจะช่วยโดยชวนสหัสเดชะพี่ชายของตนไปออกรบด้วยกัน ภายหลังด้วยความชะล่าใจของตนจึงถูกหนุมานใช้กลอุบายแปลงเป็นลิงน้อยหลอกเอากระบองวิเศษมาหักทิ้ง และฆ่าสหัสเดชะตายในที่สุด
สหัสเดชะ เป็นหนึ่งในยักษ์ทวารบาลสองตน ที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามและวัดอรุณราชวรารามคู่กับทศกัณฐ์ เพราะถือว่าเป็น ยักษ์ที่มีฤทธิ์มากดุจเดียวกับทศกัณฐ์

นกสดายุ

นกสดายุ 


นกสดายุ หรือ พระยาสดายุเป็นพระยาปักษาชาติ (นก)หนึ่งในตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นสหายกับท้าวทศรถ เมื่อทศกัณฐ์ไปลักนางสีดาจากบรรณศาลา พาอุ้มเหาะจะนำไปไว้ ณ สวนขวัญ กรุงลงกา ขณะที่พระรามไม่อยู่ในอาศรม แต่นกสดายุบินผ่านมาเห็นเหตุการณ์จึงเข้ามาสกัดไว้ ผลสุดท้าย พระยาสดายุหรือ นกสดายุถูกขว้างด้วยแหวนของนางสีดาปีกหักตกลงมายังพื้นดินแต่ยังไม่ตาย รอคอยแจ้งเหตุกับ พระรามที่ออกติดตามหานางสีดา

ราวณะ

ราวณะ

Ravana British Museum.jpg

ราวณะ หรือ ราพณ์ (สันสกฤตरावण Rāvaṇa) เป็นตัวละครหลักฝ่ายร้ายในมหากาพย์เรื่อง รามายณะ ของศาสนาฮินดู โดยเป็นราชารากษสแห่งนครลงกา ซึ่งเชื่อกันว่า ตรงกับประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน[1][2]
ราวณะมักเป็นที่พรรณนาว่า มีศีรษะสิบศีรษะ เป็นสาวกของพระศิวะ เป็นมหาปราชญ์ ปกครองบ้านเมืองอย่างเปี่ยมสามารถ ชำนาญบรรเลงวีณา(वीणा vīṇā) และมุ่งหมายจะเป็นใหญ่เหนือทวยเทพ ศีรษะทั้งสิบของเขายังเป็นเครื่องสำแดงถึงศาสตร์ทั้งหกและเวททั้งสี่ นอกจากนี้ ตามความใน รามายณะ ราวณะลักพาสีดา ภริยาของพระราม เพื่อล้างแค้นที่พระรามและพระลักษณ์อนุชาตัดจมูกศูรปณขา กนิษฐาของราวณะ
ชาวฮินดูในหลายส่วนของประเทศอินเดีย ประเทศศรีลังกา และประเทศอินโดนีเซีย เคารพบูชาราวณะ[3][4][5] และถือเป็นสาวกพระศิวะที่ได้รับความเคารพยำเกรงที่สุด เทวสถานพระศิวะหลายแห่งยังตั้งรูปราวณะคู่กับรูปพระศิวะด้วย

รามสูร

รามสูร

รามสูรกับนางเมขลากำลังต่อสู้กัน

          รามสูร หรือ ปรศุราม (สันสกฤตपरशुराम "รามผู้ถือขวาน") เป็นชื่อของยักษ์ตนหนึ่งมีฤทธิ์เดชมาก เป็นอวตารปางที่ 6 ของพระวิษณุ

การต่อสู้

ปรากฏในวรรณกรรมรามเกียรติ์ สองครั้ง ได้แก่
  1. ครั้งแรกเป็นการต่อสู้ระหว่างรามสูรกับเทพอรชุน กล่าวคือ นางเมขลาได้รับหน้าที่ดูแลดวงแก้วแห่งมหาสมุทร ซึ่งรามสูรอยากได้ จึงเข้ามาแย่งชิง เป็นที่มาของตำนาน "ฟ้าผ่า" "ฟ้าแลบ" ซึ่งฟ้าผ่ามาจากขวานของรามสูรที่ถูกกับก้อนเมฆ ฟ้าแลบมาจากการที่นางมณีเมขลาล่อแก้วแล้วส่องประกายมายังเบื้องล่าง เทพอรชุนมาเห็นเข้าก็เข้ามาห้ามปราม ด้วยว่าเป็นการไม่เหมาะไม่ควรที่ชายจะไปไล่ล่าชิงของจากหญิง เทพอรชุนเข้าต่อสู้เพราะรามสูรไม่ยอมเลิกลา จนสุดท้าย เทพอรชุนพลาดท่าถูกรามสูรจับเท้าเหวี่ยงฟาดกับเขาพระสุเมร เป็นเหตุให้พระอินทร์ต้องเชิญพาลีและสุครีพมาตั้งให้ตรง
  1. ครั้งที่สอง เป็นคราวที่ พระรามกำลังเดินทางกลับมาจากพิธีเสี่ยงมาลัยจากนางสีดา ซึ่งท้าวทศรถก็มาด้วย รามสูรมานอนขวางทาง พอทราบว่า ท้าวทศรถ ผู้มีความเก่งกาจเป็นอย่างมาก ก็ต้องการจะลองฝีมือ แต่ท้าวทศรถกล่าวว่าตนแก่ชรา ฝีมือไม่เท่าครั้งก่อน พระรามจึงอาสาออกสู้กับรามสูร พระรามปล่อยศรไปจนรามสูรยอมแพ้ และมอบธนูให้พระรามหนึ่งคัน ซึ่งต่อมาพระรามก็นำมาใช้ต่อกรกับพระยาขร คราวที่นางสำมนักขา ไปยุยงให้มาต่อสู้กับพระราม

ไมยราพ

ไมยราพ

ไมยราพทำพิธีปรุงยาสะกดทัพ

        ไมยราพ เป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ พญายักษ์เจ้าแห่งเมืองบาดาล กายสีม่วงอ่อน มงกุฏยอดกระหนก ปากขบ นัยน์ตาจระเข้ มีเวทมนตร์สะกดทัพ และเครื่องสรรพยาเป่ากล้องล่องหนเป็นอาวุธ ในต้นฉบับภาษาสันสกฤตชื่อว่า อหิรภัณ

ประวัติ

ไมยราพเป็นโอรสท้าวมหายมยักษ์กษัตริย์เมืองบาดาลองค์ที่ 2 และนางจันทรประภาศรี มีพี่สาว 1 คน คือนาง พิรากวน ภายหลังเมื่อท้าวมหายมยักษ์สิ้นพระชนม์ ไมยราพได้ครองเมืองบาดาลสืบแทนเป็นกษัตริย์แห่งเมืองบาดาลองค์ที่ 3 ซึ่งก่อนตายมหายมยักษ์ ก็ได้สั่งเสียว่าอย่าไปยุ่งกับทศกัณฐ์ผู้มีศักดิ์เป็นลุง เพราะจะเป็นภัยต่อเมืองบาดาล
ต่อมาไมยราพได้ไปเรียนวิชากับพระฤษีสุเมธ ที่เชิงป่าหิมพานต์จนมีวิชาเก่งกล้า รวมทั้งยังถอดหัวใจได้ จึงถอดดวงใจไว้ในแมลงภู่ แล้วนำไปซ่อนไว้ที่ยอดเขาตรีกูฏ ไมยราพณ์ได้พบมัจฉานุ ลูกของนางสุพรรณมัจฉากับหนุมานที่คลอดทิ้งไว้บนหาดทราย จึงเก็บมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
เมื่อทศกัณฐ์ได้มาเชิญให้ไมยราพไปช่วยรบ แม้นางจันทรประภาศรีพระมารดาจะห้ามปรามไว้ ไมยราพก็ไม่เชื่อฟัง และได้ไปสะกดทัพ และลักพาพระรามไปซ่อนไว้ที่เมืองบาดาล โดยใส่กรงเหล็กขังไว้ที่ดงตาลเพื่อรอต้มให้ตายพร้อมกับไวยวิกหลานชาย บุตรของนางพิรากวนที่ไมยราพกล่าวหาว่าเป็นกบฏ หนุมานจึงตามไปช่วยและได้พบกับมัจฉานุ ทั้งสองเกิดต่อสู้กันโดยไม่รู้ว่าเป็นพ่อลูก แต่ก็ทำอะไรกันไม่ได้จึงสอบถามความเป็นมาซึ่งกันและกัน ครั้นสอบถามและพิสูจน์กันด้วยลักษณะและการหาวเป็นดาวเป็นเดือนของหนุมาน มัจฉานุจึงยอมเชื่อ หนุมานจะให้มัจฉานุบอกที่ซ่อนพระราม แต่มัจฉานุยังกตัญญูต่อไมยราพ ก็ไม่ยอมบอกตามตรง แต่บอกใบ้ว่ามาทางใดก็ให้ไปทางนั้น หนุมานจึงมุดลงไปในสายบัวเหมือนกับที่ลงมาครั้งแรก และที่สุดหนุมานก็ฆ่าไมยราพตาย ไวยวิกบุตรของนางพิรากวนจึงได้เป็นกษัตริย์แห่งกรุงบาดาลองค์ที่ 4


พาลี

พาลี

พาลี

พาลี หรือ พญาพาลี เป็นลิงที่เป็นตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นลิงเจ้าเมืองขีดขิน ที่มีฤทธิ์มากที่สุดตัวหนึ่ง มีกายสีเขียว เป็นโอรสของพระอินทร์ กับ นางกาลอัจนา เดิมชื่อ กากาศ ตอนเด็กโดนฤๅษีโคดมสาปให้กลายเป็นลิงเช่นเดียวกันกับสุครีพ ซึ่งเป็นน้องชาย เพราะรู้ว่าทั้ง 2 เป็นลูกชู้ ต่อมาพระอินทร์ผู้เป็นบิดา ได้สร้างเมืองชื่อ ขีดขินให้พาลีปกครอง และตั้งชื่อให้ใหม่ว่า พระยากากาศ ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น พาลี เคยต่อสู้กับทรพี ควายที่ฆ่า ทรพา พ่อของตนเอง ที่มีเทวดาอารักขาขาทั้งสี่ข้างและสองเขา ซึ่งพาลีจะต้องเข้าไปสู้ในถ้ำสุรกานต์ ก่อนไปได้สั่งเสียสุครีพไว้ว่า ถ้าผ่านไปเจ็ดวันแล้ว ถ้าตนไม่กลับมา ให้ไปดูรอยเลือด ถ้าเลือดข้นนั้นคือ เลือดทรพี ถ้าเลือดใสนั้นคือเลือดตน
ตอนที่พระอิศวรฝากนางดารามากับพาลีเพื่อให้กับสุครีพผู้เป็นน้อง พาลีได้ยึดนางดาราไว้เป็นภรรยาเสียเอง พาลีเคยแย่งนางมณโฑกับทศกัณฐ์เมื่อตอนที่เหาะผ่านเมืองขีดขินด้วย และมีบุตรกับนางมณโฑ คือ องคต
สุดท้ายพาลีสิ้นชีวิตจากศรของพระราม ขณะที่พระรามแผลงศรใส่พาลี พาลีจับศรไว้ได้ พาลีจึงได้เห็นร่างที่แท้จริงของพระราม ว่าเป็นพระนารายณ์อวตาร จึงได้สำนึกผิด และเรียกสุครีพมาสั่งสอน ซึ่งเรียกว่า "พาลีสอนน้อง" และฝากฝังเมืองขีดขินไว้ จากนั้นก็ปล่อยให้ศรปักอกตาย หลังจากที่พาลีตายได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรพาลีบนสวรรค์ ได้มีบทบาทตอนไปทำลายพิธีชุบหอกกบิลพัทของทศกัณฐ์ ในศาสนาฮินดูพาลีไม่ได้ยึดนางดาราภรรยาของสุครีพ และเป็นกษัตริย์ที่ทรงคุณธรรม เขาตายเนื่องจากพระรามลอบสังหารเขาในขณะต่อกรกับสุครีพ ในชาติต่อไปเขาไปเกิดเป็นนายพรานจาราและสังหารพระกฤษณะซึ่งเป็นพระรามในชาติก่อน

พระสัตรุด

พระสัตรุด

Satrughna, the youngest brother of Rāma..jpg

          พระสัตรุดคือคฑาและสังข์ของพระนารายณ์อวตารลงมาพร้อมกับพระองค์ พระสัตรุดเป็นโอรสของ ท้าวทศรถ บิดาของพระราม กับนางสมุทรเทวี เป็นน้องชายฝาแฝดของพระลักษณ์ เป็นจอมทัพร่วมกับพระพรตผู้เป็นพระเชษฐา ตอนศึกกรุงลงกาครั้งที่ 2และศึกเมืองมลิวัน ภายหลังได้เป็นอุปราชเมืองไกยเกษ แม้พระสัตรุดจะเป็นพระอนุชาร่วมพระมารดากับพระลักษมณ์ คือ นางสมุทรเทวี แต่ทั้งในรามายณะของอินเดียและรามเกียรติ์ของไทย ก็มักกล่าวถึงพระสัตรุดคู่ไปกับพระพรต และกล่าวถึงพระรามคู่กับพระลักษมณ์ ในรามเกียรติ์ตอนต้นจนถึงตอนกลางเรื่อง พระสัตรุดมีบทบาทน้อย แต่มีบทบาทมากขึ้นในตอนท้ายเรื่อง พระนามพระสัตรุดในรามเกียรติ์เขียน สัตรุด แต่ในรามายณะ เขียน ศตฺรุฆฺน (อ่านว่า สะ -ตฺรุ-คฺนะ) แปลว่า ผู้สังหารศัตรู

พระพรต

พระพรต

Rama-Bharata-Paduka.jpg

        พระพรต เป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ มีกายสีแดง (คือจักรแก้วของพระนารายณ์ที่อวตารลงมาพร้อมกับพระราม) เป็นโอรสของท้าวทศรถกับนางไกยเกษี คำว่า "พรต" มีความหมายว่า "พระ" (พงศ์นารายณ์ - วงศ์กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา )

ประวัติ                                                                                                           พระพรตเป็นโอรสของท้าวทศรถกับนางไกยเกษี แม่ของตนเป็นต้นเหตุที่ทำให้พระรามต้องออกเดินดง 14 ปี กล่าวคือ ครั้งหนึ่งท้าวทศรถรบกับยักษ์ปทูตทันต์ ท้าวทศรถทรงนั่งรถศึกโดยมีนางไกยเกษีร่วมรบด้วย ท้าวทศรถพลาดรถทรงถูกศรของยักษ์เพลาล้อหลุด นางเห็นจึงนำแขนของตนใส่ไปแทนเพลาล้อ จนท้าวทศรถมีชัยชนะแก่ข้าศึก ท้าวทศรถดีใจมากประทานพรว่าจะให้สิ่งที่ต้องการทุกประการหากนางต้องการ เมื่อวันเวลาผ่านไปนางนึกได้จึงทูลขอกรุงศรีอยุธยาให้แก่พระพรตโอรสของตน และให้พระรามออกไปเดินดงเป็นเวลา 14 ปี ท้าวทศรถได้ฟังเช่นนั้นจึงให้พรตามที่นางขอและตรอมใจตายในที่สุด ภายหลังเป็นจอมทัพไปรบยังกรุงลงกาครั้งที่ 2 และศึกกรุงไกยเกษ พระรามจึงแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ครองกรุงไกยเกษสืบไป

นิลพัท

นิลพัท


นิลพัท (อังกฤษNilaสันสกฤต: नील) เป็นบุตรพระกาฬ พระกาฬมอบให้พระอิศวร พระอิศวรมอบให้เป็นบุตรบุญธรรมของท้าวมหาชมพู เจ้าเมืองชมพู มีฤทธิ์มากเทียบเท่ากับหนุมาน ไม่ถูกกับหนุมาน จึงกลั่นแกล้งหนุมานตอนพระรามสั่งให้กองทัพลิงไปขนหินถมถนนไปสู่กรุงลงกา หนุมานกับนิลพัทเลยต่อสู้กัน พระรามจึงมาสงบศึกและตัดสิน เมื่อทราบความว่านิลพัทเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน พระรามกริ้วนิลพัทมาก เนรเทศให้ไปอยู่เมืองขีดขินสั่งให้คอยส่งเสบียงอาหารให้แก่กองทัพ เมื่อเสร็จศึกกรุงลงกาพระรามแต่งตั้งให้เป็นอุปราชกรุงชมพูมีนามใหม่ว่า พระยาอภัยพัทวงค์
นิลพัทมีลักษณะเหมือนหนุมานทุกอย่าง เพียงแต่มีกายสีดำ มีกุณฑล ขนเพชร เขี้ยวแก้ว สี่หน้า แปดกร
ในทางวิชาการละคร อาจกล่าวได้ว่า ตัวละคร เช่น นิลพัทเป็นด้านที่อยู่ตรงข้ามกับหนุมานก็ว่าได้ (Split personality)

นางเบญกาย

นางเบญกาย

 Benyakaya.jpg

          นางเบญกาย เป็นตัวละครในวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ เป็นธิดาของพิเภก และเป็นหลานของทศกัณฐ์ ที่ต่อมาได้ตกเป็นภรรยาคนหนึ่งของหนุมาน[1] (ตอนนี้ไม่ปรากฏในรามายณะ)

ประวัติ


         ปรากฏตัวในตอนนางลอย ที่ทศกัณฐ์ผู้เป็นลุงได้สั่งให้เธอแปลงกายนางสีดาแสร้งเป็นศพลอยน้ำไปยังค่ายของพระราม หวังที่จะทำให้พระรามหมดกำลังใจและถอนทัพกลับ แต่หนุมานได้เห็นพิรุธบางประการจึงทูลพระรามก่อนนำไปสู่การเปิดเผยนางเบญกาย เป็นธิดาของพิเภก กับนางตรีชฎา[1][2][3] โดยพิเภกเป็นน้องชายของทศกัณฐ์[4] เบญกายจึงเป็นหลานลุงของทศกัณฐ์ด้วย
ทศกัณฐ์ผู้เป็นลุงได้สั่งให้เธอแปลงกายไปเป็นนางสีดาโดยทำเหมือนว่านางสีดาเป็นศพลอยตามน้ำยังหน้าพลับพลาของพระรามหวังทำลายขวัญและกำลังใจฝ่ายตรงข้าม เมื่อรับคำสั่งนั้นนางเบญกายจึงไปเฝ้าดูนางสีดาแล้วแปลงกายเป็นนางสีดาอย่างแนบเนียน แม้แต่ทศกัณฐ์เองก็จำไม่ได้ ดังปรากฏความตอนหนึ่ง ความว่า[2]
เมื่อนั้นนางเบญกายยักษี
เห็นพระราชาอสุรีเสด็จลงจากที่บัลลังก์ทรง
ด้วยได้เห็นรูปนางนิมิตคิดว่าสีดานวลหง
ดำเนินเข้ามาเคียงองค์ใหลหลงประโลมด้วยวาจา
         จากนั้นนางก็ทำตามคำบัญชาของทศกัณฐ์ เมื่อพระรามเห็นศพนางสีดาลอยน้ำมาก็เสียใจมากที่ต้องมาสูญเสียนางอันเป็นที่รักไป พาลต่อว่าหนุมานที่เข้าไปเผากรุงลงกาในคราวนั้น ทศกัณฐ์คงเจ็บใจและสังหารนางสีดาทิ้งเสีย แต่หนุมานทูลให้พระรามเห็นพิรุธนานาประการ อาทิ ศพที่ลอยน้ำจะต้องเป็นศพที่เน่าเปื่อย และศพนางสีดานี้ลอยทวนน้ำขึ้นมานั้นผิดวิสัยของศพที่จะต้องลอยตามกระแสน้ำ จึงทูลขอศพนางสีดานั้นไปเผาไฟ นางเบญกายก็ทนร้อนไม่ไหวจึงกลับคืนร่างเดิมและเหาะขึ้นฟ้าไป แต่หนุมานก็เหาะตามไปจับตัวนางมาได้[1][2]
โทษของนางเบญกายนั้นถึงประหารชีวิต แต่เนื่องจากพระรามได้ทราบว่านางเบญกายเป็นบุตรสาวของพิเภกผู้มีความยุติธรรม จึงได้ปล่อยนางเบญกายไป โดยให้หนุมานไปส่งนางเบญกายที่กรุงลงกา แต่ระหว่างทางที่หนุมานพานางเบญกายไปส่งยังกรุงลงกานั้น หนุมานซึ่งมีจิตปฏิพัทธ์นางเบญกายแต่แรกที่พบกัน จึงได้เกี้ยวพาราสีนางจนได้นางเบญกายเป็นภรรยา
ในคราวที่หนุมานมาปราบท้าวมหาบาลซึ่งบุกมาที่กรุงลงกา หนุมานได้เข้าไปพำนักกับนางเบญกายด้วย ทำให้ในเวลาต่อมา นางเบญกายได้ให้กำเนิดบุตรชายนามว่า อสุรผัด[1][3] มีหน้าเป็นวานร และมีกายเป็นยักษ์
ครั้นเมื่อทศกัณฐ์ทำพิธีตั้งอุโมงค์บำเพ็ญตบะ หนุมาน, สุครีพ และนิลนนท์ ได้รับมอบหมายให้ไปทำลายพิธี โดยนำน้ำล้างเท้าของนางเบญกายไปรดแผ่นหินที่ปิดปากอุโมงค์

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

พระพิราพ

พระพิราพ

RM-1.JPG
        พระพิราพ (อสูรเทพบุตร) มีลักษณะคือ หน้ากางคางออก เรียกว่าหน้าจาวตาล สีม่วงแก่ หรือสีน้ำรัก หรือสีทอง ปากแสยะ ตาจระเข้ เขี้ยวทู่หรือเขี้ยวตัด หัวโล้น สวมกะบังหน้า ตอนทรงเครื่องสวมมงกุฎยอดเดินหน กายสีม่วงแก่ 1 พักตร์ 2 กร มีกายเป็นวงทักขิณาวัฎ
พระพิราพ เป็นครูสูงสุดทั้งฝ่ายนาฏศิลป์และดุริยางค์ศิลป์ โดยเชื่อกันว่า พระองค์นั้น เป็นภาคหนึ่งของพระอิศวร ซึ่งในคติดั่งเดิมเรียกพระองค์ว่าพระไภรวะ หรือไภราวะ หรือพระไภราพ เมื่อนาฏดุริยางค์ศิลป์ของไทยเรานับเอาศาสตร์แขนงนี้มาจากอินเดีย คติการนับถือพระอิศวรนารายณ์ทวยเทพทั้งหลายรวมไปถึงพระไภรวะจึงติดตามมาด้วย แต่เมื่อเข้ามาในไทยเราแล้วมีการเรียกนามพระองค์เพี้ยนไปจากเดิมเป็นพระพิราพ คติการนับถือพระพิราพกับการแสดงนาฏศิลป์และดุริยางค์ศิลป์ ปรากฏหลักฐานมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และมีการบันทึกหลักฐานเป็นที่แน่ชัดในราวรัชกาลที่ 2
พระพิราพถือเป็นครูยักษ์ เป็นเทพอสูร และเป็นมหาเทพ (ศิวะอวตาร) แต่เนื่องจากนามของพระองค์คล้ายคลึงกับตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์ซึ่มมีลักษณะเป็นยักษ์เช่นกันคือยักษ์วิราธ และนิยมเรียกเพี้ยนเป็นยักษ์พิราพ ทำให้บรมครูสูงสุดกับตัวละครตัวนี้เกิดความสับสนปนเปกัน
ในปัจจุบันทางกรมศิลปากรได้มีการชำระประวัติของพระพิราพ โดยนักวิชาการ และมีการเผยแพร่สร้างความเข้าใจให้แก่บุคคลทั่วไป แต่ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ในปัจจุบันนี้คติการนับถือพระพิราพแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากครูบาอาจารย์หลายสำนักนิยมนำพระองค์มาสร้างเป็นวัตถุมงคล โดยมีพระอาจารย์ศิริพงศ์ ครุพันธกิจ เป็นผู้เผยแพร่เป็นท่านแรก อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นประโยชน์แก่การศึกษา ผู้บูชาจึงควรศึกษาประวัติของท่านให้ถ่องแท้ด้วย

องคต

องคต

องคต 
องคต เป็นตัวละครเอกตัวหนึ่งของเรื่อง รามเกียรติ์ เป็นลูกของพญาพาลี กับนางมณโฑ เป็นทหารเอกของพระรามมีอาวุธเป็นธนู ที่แม้แต่ใครก็ตามที่มาสู้กับองคตก็ต้องตายหมด องคตเกิดมาจาก เมื่อพาลีแย่งนางมณโฑมาจากทศกัณฐ์แล้ว นางต้องเป็นภรรยาของพาลีจนกระทั่งตั้งครรภ์ ทศกัณฐ์จึงไปฟ้องฤๅษีอังคัตผู้เป็นอาจารย์ของพาลีให้มาว่ากล่าวพาลี จนพาลียอมคืนนางมณโฑให้แต่ขอลูกเอาไว้ ฤๅษีอังคัตจึงทำพิธีเอาลูกออกจากท้องนางมณโฑไปใส่ในท้องแพะ เมื่อครบกำหนดคลอดพระฤๅษีก็ทำพิธีให้ออกจากท้องแพะให้ชื่อว่า องคต ทศกัณฐ์ยังผูกใจเจ็บ จึงแปลงกายเป็นปูยักษ์ คอยอยู่ก้นแม่น้ำเพื่อที่จะฆ่าองคตขณะทำพิธีลงสรง แต่ถูกพาลีจับได้ แล้วเอามาผูกไว้ให้ลูกลากเล่นอยู่เจ็ดวันจึงปล่อยไป เมื่อสุครีพขอให้พระรามมาช่วยปราบพาลี ก่อนที่พาลีจะสิ้นใจตาย ได้สำนึกว่าตนทำผิดต่อสุครีพ ทั้งไม่รักษาคำสัตย์สาบาน จึงได้ทูลฝากฝังสุครีพและองคตไว้กับพระราม องคตได้ช่วยทำศึกกับกองทัพของทศกัณฐ์อย่างเต็มความสามารถ พระรามเคยส่งองคตเป็นทูตไปเจรจากับทศกัณฐ์ เพื่อทวงนางสีดาคืนกลับมา แม้จะไม่สำเร็จ แต่ก็ได้แสดงความเฉลียวฉลาดและความกล้าหาญ ให้ประจักษ์แก่ตาของทศกัณฐ์
องคตเป็นผู้ที่มีสัมมาวาจา สามารถพูดจาให้คนหลงเชื่อได้ ดังจะเห็นได้จากตอนที่พระรามให้องคตแปลงกายเป็นยักษ์พิจิตรไพรีไปทูลขอแว่นแก้วสุรกานต์จากพระพรหม

       ลักษณะขององคต คือ มีหนึ่งพักตร์ มีกายสีเขียว แต่งตัวตามอย่างกษัตริย์ สวมมงกุฎสามกลีบ(มงกุฎน้ำเต้า) มีพระขรรค์เป็นอาวุธ ภายหลังได้เป็น พระยาอินทรนุภาพ ตำแหน่งผ่ายหน้าเมืองขีดขินพร้อมมงกุฎกุณฑล สังวาลแก้วและทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ทุกประการ

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559

มัจฉานุ


มัจฉานุ

มัจฉานุ


มัจฉานุ เป็นลูกของหนุมานกับนางสุพรรณมัจฉา เนื่องจากเป็นลูกของหนุมาน จึงมีร่างกายเป็นลิง แต่มีหางเป็นปลาเช่นเดียวกับนางสุพรรณมัจฉา แต่เมื่อนางสุพรรณมัจฉาได้คลอดมัจฉานุด้วยการสำรอกออกมาแล้ว เกรงว่าทศกัณฐ์จะรู้ว่าเป็นลูกตน จึงได้นำมัจฉานุไปทิ้งไว้ที่หาดริมทะเล หลังจากนั้น ไมยราพณ์ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองบาดาล ได้เดินทางมาพบและเก็บไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งภายหลัง หนุมานที่ได้ติดตามไมยราพณ์ ซึ่งลักพาตัวพระรามมาไว้ที่เมืองบาดาล จึงได้พบกับมัจฉานุ ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าด่านสระบัวอยู่ ทั้งสองจึงได้ต่อสู้กัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถเอาชนะกันได้เสียที จึงได้ถามมัจฉานุว่าเป็นลูกใครพ่อแม่ชื่ออะไร เมื่อได้ยินคำตอบของมัจฉานุ หนุมานก็ดีใจมากเมื่อได้พบลูกของตน เมื่อเสร็จศึกกรุงลงกาครั้งที่ 2 และศึกกรุงมลิวัน จึงได้รับแต่งตั้งเป็น พญาหนุราช ครองกรุงมลิวัน แทนท้าวจักรวรรดิ และได้นางรัตนามาลี ธิดาท้าวจักรวรรดิเป็นมเหสี

ม้านิลมังกร

ม้านิลมังกร



ม้านิลมังกร หรือ ม้ามังกร สัตว์ประหลาดในวรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณี ตามจินตนาการของสุนทรภู่ เป็นพาหนะของสุดสาคร โดยสุนทรภู่ได้รจนาถึงลักษณะของม้านิลมังกรไว้ว่า
พระนักสิทธิ์พิศดูเป็นครู่พักหัวร่อคักรูปร่างมันช่างขัน
เมื่อตัวเดียวเจียวกลายเป็นหลายพันธุ์กำลังมันมากนักเหมือนยักษ์มาร
กินคนผู้ปูปลาหญ้าใบไม้มันทำได้หลายเล่ห์อ้ายเดรฉาน
เขี้ยวเป็นเพชรเกล็ดเป็นนิลลิ้นเป็นปานถึงเอาขวานฟันฟาดไม่ขาดรอน
เจ้าได้ม้าพาหนะตัวนี้ไว้จะพ้นภัยภิญโญสโมสร
ให้ชื่อว่าม้านิลมังกรจงถาวรพูนสวัสดิ์แก่นัดดา
โดยที่สุนทรภู่มิได้ให้ที่มาที่ไปของม้านิลมังกร ว่าเป็นสัตว์อะไร มาจากไหน ปรากฏตัวครั้งแรกที่ชายหาด เกาะแก้วพิสดาร โดยสุดสาครไปพบเข้า เป็นสัตว์ดุร้าย มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่าง ๆ สุดสาครเป็นผู้ปราบได้จากไม้เท้าวิเศษของโยคี ในที่สุด ม้านิลมังกร ก็กลายเป็นพาหนะของสุดสาคร และเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซื่อสัตย์ต่อนาย จากการมาช่วยสุดสาครที่ตกหน้าผาจากการทำร้ายของชีเปลือย
ลักษณะของม้านิลมังกร ตัวเป็นม้าหัวเป็นมังกร หางเหมือนนาค ลำตัวเป็นเกล็ดสีดำแวววาว เหมือนดั่งชื่อ กินอาหารได้หลายอย่างดั่งคำกลอน จึงเชื่อว่าสุนทรภู่จินตนาการมาจากกิเลนของจีน หรือวรรณคดีของจีนเรื่องต่าง ๆ เช่น ไซฮั่น [1]เพราะไม่ปรากฏสัตว์ลักษณะเช่นนี้ในความเชื่อหรือวรรณคดีเรื่องใดของไทยมาก่อน อีกทั้งตัวละครและสถานที่ต่าง ๆ ในเรื่อง ก็มีที่มาจากหลายภาคส่วนของแต่ละประเทศอีกด้วย