วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

ไชยเชษฐ์


ไชยเชษฐ์
Chaiyach1.jpg

ไชยเชษฐ์ เป็นนิทานพื้นบ้านสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีผู้นำนิทานเรื่องนี้มาเล่นเป็นละครเพราะเป็นเรื่องสนุก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงนำนิทานเรื่องไชยเชษฐ์มาพระราชนิพนธ์เป็นบทละครนอก เดิมละครนอกเป็นละครที่ราษฎรเล่นกัน ให้ผู้ชายแสดงเป็นตัวละครทั้งหมด พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องไชยเชษฐ์เพื่อให้เป็นบทละครนอกของหลวง และทรงให้ผู้หญิงที่เป็นละครหลวงแสดงอย่างละครนอก

เนื้อเรื่อง                                                                                                         ท้าวอภัยนุราช เจ้าเมืองเวสาลี มีพระธิดาองค์หนึ่ง พระนามว่า นางจำปาทอง เพราะเมื่อนางร้องไห้จะมีดอกจำปาทองร่วงลงมา ครั้นนางจำปาทองเจริญวัยขึ้น นางได้นำไข่จระเข้าจากสระในสวนมาฟักจนเป็นตัวและเลี้ยงจระเข้ไว้ในวัง ครั้นจระเข้เติบใหญ่ขึ้น ก็ดุร้ายตามวิสัยของมัน มันเที่ยวไล่กัดชาวเมืองจนชาวเมืองเดือดร้อนไปทั่ว ท้าวอภัยนุราชทรงขัดเคืองจึงขับไล่นางจำปาทองออกจากเมืองเวสาลี นางแมว ซึ่งเป็นแมวที่นางจำปาทองเลี้ยงไว้ได้ติดตามนางไปด้วย นางจำปางทองกับนางแมวเดินซัดเซพเนจรอยู่ในป่า ไปพบยักษ์ตนหนึ่งชื่อ นนทยักษ์ ซึ่งกำลังจะไปเฝ้า ท้าวสิงหล นางตกใจกลัวจึงวิ่งหนีไปพบพระฤๅษี พระฤๅษีช่วยนางไว้ นางจำปาทองกับนางแมวจึงขออาศัยอยู่รับใช้พระฤๅษีในป่านั้น

ท้าวสิงหลเป็นยักษ์ครองเมืองสิงหล ไม่มีโอรสและธิดา คืนหนึ่งท้าวสิงหลบรรเทาหลับและทรงพระสุบินว่า มียักษ์ตนหนึ่งมาจากป่านำดอกจำปามาถวาย ดอกจำปามีสีเหลือเหมือนทองคำงามยิ่งนัก ท้าวสิงหลจึงทรงให้โหรทำนายพระสุบิน โหรทำนายว่าท้าวสิงหลจะได้พระธิดา วันนั้นนนทยักษ์เข้าเฝ้าท้าวสิงหลและทูลว่าพบหญิงสาวอาศัยอยู่กับพระฤๅษีที่ในป่า ท้าวสิงหลจึงเสด็จไปหาพระฤๅษี และขอนางจำปาทองมาเป็นธิดา ประทานนามว่า นางสุวิญชา
ฝ่ายพระไชยเชษฐ์เป็นโอรสเจ้าเมืองเหมันต์ พระไชยเชษฐ์มีพระสนมอยู่ 7 คน วันหนึ่งพระองค์เสด็จประพาสป่า และหลงทางเข้าไปในสวนเมืองสิงหล นางสุวิญชา มาเที่ยวชมสวนพบพระไชยเชษฐ์จึงนำความทูลให้ท้าวสิงหลทราบ ท้าวสิงหลให้พระไชยเชษฐ์เข้าเฝ้า พระไชยเชษฐ์จึงทูลขอรับราชการในเมืองสิงหล ต่อมามีข้าศึกยกทัพมาตีเมืองสิงหล พระไชยเชษฐ์อาสาสู้ศึกจนชนะ ท้าวสิงหลจึงทรงยกนางสุวิญชาให้เป็นชายาพระไชยเชษฐ์ พระไชยเชษฐ์จึงพานางสุวิญชากลับเมืองเหมันต์
ฝ่ายนางสนมทั้ง 7 คนริษยานางสุวิญชาที่พระไชยเชษฐ์รักนางสุวิญชามากกว่า ครั้นนางสุวิญชาทรงครรภ์จวนจะถึงกำหนดคลอดนางสนมทั้ง 7 คน ก็ออกอุบายว่ามีช้างเผือกอยู่ในป่า พระไชยเชษฐ์จึงออกไปคล้องช้างเผือก ฝ่ายนางสุวิญชาคลอดลูกเป็นกุมารมีศรกับพระขรรค์ติดตัวมาด้วย นางสนมทั้ง 7 คน นำพระกุมารใส่หีบไปฝังที่ใต้ต้นไทรในป่า เทวดาประจำต้นไม้ช่วยชีวิตพระกุมารไว้ เมื่อพระไชยเชษฐ์เสด็จกลับจากคล้องช้างเผือก นางสนมทั้ง 7 คน ทูลว่านางสุวิญชาคลอดลูกเป็นท่อนไม้ พระไชยเชษฐ์จึงขับไล่นางสุวิญชาออกจากเมือง ขณะที่นางสุวิญชาคลอดกุมารนั้น นางแมวแอบเห็นการกระทำของนางสนมทั้ง 7 คน จึงพานางสุวิญชาไปขุดหีบที่ใต้ต้นไทร แล้วพาพระกุมารกลับไปเมืองสิงหล ท้าวสิงหลตั้งชื่อพระกุมารว่า พระนารายณ์ธิเบศร์
ต่อมาพระไชยเชษฐ์ทรงรู้ความจริงว่านางสุวิญชาถูกใส่ร้าย จึงออกติดตามนางสุวิญชาไปเมืองสิงหลและได้พบพระนารายณ์ธิเบศร์ ซึ่งกำลังประพาศป่ากับพระพี่เลี้ยง พระไชยเชษฐ์เห็นพระนารายณ์ธิเบศร์เป็นเด็กน่ารัก มีหน้าตาคล้ายพระองค์ก็มั่นใจว่าเป็นพระโอรส จึงเข้าไปขออุ้มและเอาขนมนมเนยให้ พระนารายณ์ธิเบศร์โกรธว่าเป็นคนแปลกหน้า จึงไม่ให้จับต้องและไม่ยอมเสวยขนม
พระนารายณ์ธิเบศร์โกรธพระไชยเชษฐ์ที่มาจับต้องตัวและจับหัวของพระพี่เลี้ยงของตนจึงใช้ศรธนูหมายจะฆ่าให้ตายแต่ธนูที่ยิงออกไปนั้นกลับกลายเป็นดอกไม้กระจายเติมพื้นดิน จึงทำให้พระไชยเชษฐ์เกิดความประหลายใจยิ่งนัก จึงอธิษฐานจิตว่าถ้ากุมารองค์นี้เป็นลูกของตนที่เกิดกับนางสุวิญชาขอให้ธนูที่ยิงออกไปนั้นกลายเป็นอาหาร ทันใดนั้นพระไชยเชษฐ์ก็แผลงศรออกไป และศรธนุที่ยิงออกไปนั้นก็กลายเป็นอาหารมากมายเต็มพื้น จึงทำให้พระไชยเชษฐ์มั่นใจเป็นแน่แท้ว่าเป็นบุตรของตนจริง
พระไชยเชษฐ์ทรงไต่ถามพระนารายณ์ธิเบศร์เกี่ยวกับมารดา เพราะทรงจำแหวนที่พระนารายณ์ธิเบศร์สวมได้ พระนารายณ์ธิเบศร์บอกว่านางสุวิญชาเป็นแม่และท้าวสิงหลเป็นพ่อ พระไชยเชษฐ์จึงทรงเล่าเรื่องเดิมให้พระนารายณ์ธิเบศร์ฟัง ทั้งสองจึงทราบว่าเป็นพ่อลูกกัน พระนารายณ์ธิเบศร์พาพระไชยเชษฐ์เข้าเฝ้าท้าวสิงหล พระไชยเชษฐ์ขอโทษนางสุวิญชา พระนารายณ์ธิเบศร์ช่วยทูลนางสุวิญชาให้หายโกรธพ่อ นางสุวิญชายกโทษให้ พระไชยเชษฐ์ นางสุวิญชา และพระนารายณ์ธิเบศร์ สามคนพ่อแม่ลูกจึงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

แสงอาทิตย์

แสงอาทิตย์

แสงอาทิตย์.jpg

          แสงอาทิตย์ เป็นตัวละครฝ่ายอธรรมจากเรื่องรามเกียรติ์ โอรสองค์ที่สองของพญาขร เป็นน้องของมังกรกัณฐ์ มีแว่นแก้วสุรกานต์ที่พระพรหมประทานให้เป็นอาวุธ และได้ฝากเก็บไว้ที่พระพรหม หากใช้ส่องไปที่ใครจะทำให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ทศกัณฐ์ใช้ให้แสงอาทิตย์ยกทัพออกไปรบกับพระราม พิเภกทูลพระรามว่าแสงอาทิตย์มีแว่นแก้วสุรกานต์เป็นอาวุธฝากไว้ที่พระพรหม พระรามจึงให้องคตแปลงกายเป็นแสงอาทิตย์ และให้พิเภกแปลงกายเป็นจิตรไพรี พี่เลี้ยงของแสงอาทิตย์ที่ แล้วไปขอแว่นแก้วมาจากพระพรหม เมื่อแสงอาทิตย์สู้พระรามไม่ได้ จึงใช้ให้จิตรไพรีไปขอแว่นแก้วสุรกานต์จากพระพรหม พระพรหมจึงว่ามาเอาไปแล้วทำไมจึงมาขออีก จิตรไพรีรีบกลับมาบอกแสงอาทิตย์ แสงอาทิตย์รู้ตัวว่าหลงกลแล้วก็แข็งใจสู้กับพระรามและถูกศรพรหมมาศของพระรามตายกลางสนามรบ

ท้าวอัศกรรณมาลาสูร

ท้าวอัศกรรณมาลาสูร



ท้าวอัศกรรณมาลาสูร เจ้าเมืองดุรัม เป็นเพื่อนอีกตนหนึ่งของทศกัณฐ์ ได้ขอทศคีรีวัน ทศคีรีธร โอรสฝาแฝดของทศกัณฐ์ที่เกิดกับนางช้าง ไปเป็นลูกบุญธรรม เมื่อลูกบุญธรรมทั้งสองและทศกัณฐ์ตาย ท้าวอัศกรรณมาลาสูรก็ยกทัพไปช่วยแก้แค้น จึงถูกพระรามแผลงศรตัดตัวขาด แต่แทนที่จะตายกลับมีร่างกายทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ พิเภกจึงบอกความลับว่าท้าวอัศกรรณมาลาสูรได้พรจากพระอิศวร ถึงร่างกายจะถูกตัดเป็นกี่ท่อนก็จะทวีคูณขึ้นมา ไม่มีวันตาย วิธีฆ่าคือ ต้องนำร่างทั้งหมดไปทิ้งน้ำ พระรามจึงแผลงศรพรหมมาศไปตัดหัวขาด และนำร่างไปทิ้งน้ำ
ท้าวอัศกรรณมาลาสูร เป็นหนึ่งในทวารบาลในพระบรมมหาราชวัง

ลักษณะ                                                                                                         หน้าสีม่วงแก่ ๗ หน้า ๒ กร แบ่งเป็น ๒ ชั้นด้วยกัน ชั้นแรกเป็นหน้าปกติ ๑ หน้า และหน้าเล็ก ๆ ๓ หน้า เรียงอยู่ตรงท้ายทอย ส่วนชั้นที่ ๒ เป็นหน้าเล็ก ๓ หน้า แสดงอาการปากขบตาโพลงหรือปากแสยะตาโพลงสวมชฎามนุษย์หรือมงกุฎชัย

สหัสเดชะ

สหัสเดชะ


         สหัสเดชะ (แปลว่า มีกำลังนับพัน) เป็นยักษ์กายสีขาว เจ้าเมืองปางตาล มี 1000 หน้า 2000 มือ ร่างกายสูงใหญ่ดั่งเขาอัศกรรม มีกระบองวิเศษที่พระพรหมประทานให้มีฤทธิ์คือต้นชี้ตายปลายชี้เป็นและได้รับพรเมื่อข้าศึกหรือศัตรูเห็นจงหนีหายไปด้วยความกลัว เมื่อพญามูลพลัมรู้ว่าทศกัณฐ์เพื่อนของตนกำลังรบกับพระรามอยู่จึงคิดจะช่วยโดยชวนสหัสเดชะพี่ชายของตนไปออกรบด้วยกัน ภายหลังด้วยความชะล่าใจของตนจึงถูกหนุมานใช้กลอุบายแปลงเป็นลิงน้อยหลอกเอากระบองวิเศษมาหักทิ้ง และฆ่าสหัสเดชะตายในที่สุด
สหัสเดชะ เป็นหนึ่งในยักษ์ทวารบาลสองตน ที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามและวัดอรุณราชวรารามคู่กับทศกัณฐ์ เพราะถือว่าเป็น ยักษ์ที่มีฤทธิ์มากดุจเดียวกับทศกัณฐ์

นกสดายุ

นกสดายุ 


นกสดายุ หรือ พระยาสดายุเป็นพระยาปักษาชาติ (นก)หนึ่งในตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นสหายกับท้าวทศรถ เมื่อทศกัณฐ์ไปลักนางสีดาจากบรรณศาลา พาอุ้มเหาะจะนำไปไว้ ณ สวนขวัญ กรุงลงกา ขณะที่พระรามไม่อยู่ในอาศรม แต่นกสดายุบินผ่านมาเห็นเหตุการณ์จึงเข้ามาสกัดไว้ ผลสุดท้าย พระยาสดายุหรือ นกสดายุถูกขว้างด้วยแหวนของนางสีดาปีกหักตกลงมายังพื้นดินแต่ยังไม่ตาย รอคอยแจ้งเหตุกับ พระรามที่ออกติดตามหานางสีดา

ราวณะ

ราวณะ

Ravana British Museum.jpg

ราวณะ หรือ ราพณ์ (สันสกฤตरावण Rāvaṇa) เป็นตัวละครหลักฝ่ายร้ายในมหากาพย์เรื่อง รามายณะ ของศาสนาฮินดู โดยเป็นราชารากษสแห่งนครลงกา ซึ่งเชื่อกันว่า ตรงกับประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน[1][2]
ราวณะมักเป็นที่พรรณนาว่า มีศีรษะสิบศีรษะ เป็นสาวกของพระศิวะ เป็นมหาปราชญ์ ปกครองบ้านเมืองอย่างเปี่ยมสามารถ ชำนาญบรรเลงวีณา(वीणा vīṇā) และมุ่งหมายจะเป็นใหญ่เหนือทวยเทพ ศีรษะทั้งสิบของเขายังเป็นเครื่องสำแดงถึงศาสตร์ทั้งหกและเวททั้งสี่ นอกจากนี้ ตามความใน รามายณะ ราวณะลักพาสีดา ภริยาของพระราม เพื่อล้างแค้นที่พระรามและพระลักษณ์อนุชาตัดจมูกศูรปณขา กนิษฐาของราวณะ
ชาวฮินดูในหลายส่วนของประเทศอินเดีย ประเทศศรีลังกา และประเทศอินโดนีเซีย เคารพบูชาราวณะ[3][4][5] และถือเป็นสาวกพระศิวะที่ได้รับความเคารพยำเกรงที่สุด เทวสถานพระศิวะหลายแห่งยังตั้งรูปราวณะคู่กับรูปพระศิวะด้วย

รามสูร

รามสูร

รามสูรกับนางเมขลากำลังต่อสู้กัน

          รามสูร หรือ ปรศุราม (สันสกฤตपरशुराम "รามผู้ถือขวาน") เป็นชื่อของยักษ์ตนหนึ่งมีฤทธิ์เดชมาก เป็นอวตารปางที่ 6 ของพระวิษณุ

การต่อสู้

ปรากฏในวรรณกรรมรามเกียรติ์ สองครั้ง ได้แก่
  1. ครั้งแรกเป็นการต่อสู้ระหว่างรามสูรกับเทพอรชุน กล่าวคือ นางเมขลาได้รับหน้าที่ดูแลดวงแก้วแห่งมหาสมุทร ซึ่งรามสูรอยากได้ จึงเข้ามาแย่งชิง เป็นที่มาของตำนาน "ฟ้าผ่า" "ฟ้าแลบ" ซึ่งฟ้าผ่ามาจากขวานของรามสูรที่ถูกกับก้อนเมฆ ฟ้าแลบมาจากการที่นางมณีเมขลาล่อแก้วแล้วส่องประกายมายังเบื้องล่าง เทพอรชุนมาเห็นเข้าก็เข้ามาห้ามปราม ด้วยว่าเป็นการไม่เหมาะไม่ควรที่ชายจะไปไล่ล่าชิงของจากหญิง เทพอรชุนเข้าต่อสู้เพราะรามสูรไม่ยอมเลิกลา จนสุดท้าย เทพอรชุนพลาดท่าถูกรามสูรจับเท้าเหวี่ยงฟาดกับเขาพระสุเมร เป็นเหตุให้พระอินทร์ต้องเชิญพาลีและสุครีพมาตั้งให้ตรง
  1. ครั้งที่สอง เป็นคราวที่ พระรามกำลังเดินทางกลับมาจากพิธีเสี่ยงมาลัยจากนางสีดา ซึ่งท้าวทศรถก็มาด้วย รามสูรมานอนขวางทาง พอทราบว่า ท้าวทศรถ ผู้มีความเก่งกาจเป็นอย่างมาก ก็ต้องการจะลองฝีมือ แต่ท้าวทศรถกล่าวว่าตนแก่ชรา ฝีมือไม่เท่าครั้งก่อน พระรามจึงอาสาออกสู้กับรามสูร พระรามปล่อยศรไปจนรามสูรยอมแพ้ และมอบธนูให้พระรามหนึ่งคัน ซึ่งต่อมาพระรามก็นำมาใช้ต่อกรกับพระยาขร คราวที่นางสำมนักขา ไปยุยงให้มาต่อสู้กับพระราม